อุปกรณ์หลักในการติดตั้งแอร์ พร้อมหน้าที่ในการใช้งาน
สว่าน : มีหน้าที่ในการเจาะกำแพง
เพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ทั้งติดผนัง เพดาน รวมไปถึงตั้งพื้น
สว่านที่ดีจะต้องมีความทนทาน ทนแรงกระแทก
และรองรับความร้อนสูงในการใช้งานติดกันได้
หัวเจาะกลม : มีไว้เพื่อเจาะรูท่อแอร์ให้เป็นวงกลม
ได้ขนาดพอดีกับท่อ ลดรอยแตกร้าวขณะเจาะ เหมาะสำหรับใช้เจาะรูท่อแอร์
รูท่อสารทำความเย็นในการติดตั้ง
ที่มา http://www.mymarket.in.th/
Bender : มีหน้าที่ใช้ตัดท่อทองแดง
ใช้กับท่อหลายขนาดตั้งแต่ 3 หุน –
8 หุน โดยเน้นความแม่นยำ และองศาในการตัด
ซึ่งจะตรงไม่ตรงนั้นขึ้นอยู่กับความชำนาญของช่าง และความคมทนของใบมีด
ถังน้ำยาแอร์ : มีหน้าที่เก็บน้ำยาแอร์หลายประเภท
ขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องปรับอากาศ เพื่อใช้เติมเข้าสู่เครื่องปรับอากาศ เช่น R-22 ,
R410a โดยมาตรฐานการเติมน้ำยาแอร์
จะวัดจากแรงดันประมาณ แรงดันต่ำสุดที่ "70 – 80 ปอนด์" และ แรงดันสูงสุดที่ "270 – 280 ปอนด์" (ต่อตารางนิ้ว)
เกจวัดน้ำยา : มีหน้าที่ควบคุมและวัดปริมาณน้ำยาแอร์ในระบบ
สามารถใช้คู่กับเครื่องปั๊มสูญญากาศ เพื่อวัดดูค่าของปริมาณอากาศในระบบได้อีกด้วย
ซึ่งต้องแยกชนิดการใช้งาน ระหว่า R-22 กับ R-410a ไม่สามารถใช้เกจวัดตัวเดียวกันได้
เนื่องจากความแตกต่างของความดันน้ำยาแอร์ที่ไม่เท่ากัน
เครื่องปั๊มสูญญากาศ : มีหน้าที่ไล่อากาศ
และความชื้นออกจากระบบ หรือเรียกว่าการทำแวคคั่ม
เพื่อให้น้ำยาแอร์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ อาจใช้เวลาในการทำนาน แต่จำเป็นต้องทำ
เพื่ออายุการใช้งานของแอร์ที่ยาวนาน
ประแจเลื่อน : เป็นเครื่องมือสำหรับขันหรือไขน็อตขนาดใหญ่ส่วนมากแล้วสำหรับงานแอร์ใช้สำหรับขันบานแฟลหรือเซอร์วิสวาล์วที่คอล์ยร้อน
ไขควง : สำหรับสิ่งนี้ไม่มีไม่ได้ครับแนะนำให้เป็นแบบสลับด้ามได้เป็นเพราะการรื้อหรือประกอบแอร์นั้นแต่ละยี่ห้ออาจจะมีน็อตไม่เหมือนกันดังนั้นการสลับด้ามได้จึงเป็นสิ่งที่สะดวกรวดเร็วสำหรับช่างแอร์อย่างยิ่ง
การติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะเครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วน(Split Type) ที่ใช้ตามบ้านทั่วๆไปก่อนดังนี้
การเลือกตำแหน่งติดตั้งเครื่องปรับอากาศ
ตำแหน่งคอนเด็นซิ่งยูนิต ( CDU ) ที่เหมาะสม
1.
บริเวณที่ติดตั้งเครื่องต้องแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนจากการทำงานได้
2.ในกรณีที่คอนเด็นซิ่งตั้งวางบนพื้นดินต้องทำฐานรองรับเครื่องด้วยคอนกรีต
3.
ติดตั้งในบริเวณที่อากาศถ่ายเทได้สะดวกและห่างจากมุมอับ
4.
บริเวณที่ติดตั้งต้องมีการระบายน้ำได้ดีหรือที่ที่น้ำท่วมไม่ถึง
5.
การวางคอนด็นซิ่งยูนิตควรมีลูกยางรองเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของตัวเครื่อง
6.
ควรวาง CDU ให้ห่างจากพื้นที่ใช้สอยทั่วไปเพื่อหลีกเลี่ยงจากปัญหาเรื่องเสียงรบกวน
7.
อย่าตั้งเครื่องชิดกับคอนเด็นซิ่งยูนิตอื่นหรือผนังเพราะทำให้ระบายความร้อนยาก
8.
หลีกเลี่ยงการติดตั้งในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี เช่น มีความเป็นกรดสูง,แสงแดดแรงหรือมีน้ำหยด
9.
ควรวาง CDU ในบริเวณที่สามารถเข้าไปตรวจซ่อมภายหลังได้อย่างสะดวก
ตำแหน่งแฟนคอยล์ยูนิต ( FCU) ที่เหมาะสม
1.
ตั้งในบริเวณที่สามารถกระจายลมได้ทั่วทั้งห้องอย่าติดตั้งเครื่องในมุมอับ
2.
อย่าให้สิ่งของกีดขวางทางไหลของอากาศเพราะจะทำให้อากาศหมุนเวียนไม่สะดวก
3.
บริเวณที่ติดตั้งเครื่องต้องแข็งแรงสามารถรับน้ำหนักและแรงสั่นสะเทือนจากการทำงานได้
4.
หลีกเลี่ยงการวาง FCU ใกล้กับประตู, หน้าต่างหรือพัดลมดูดอากาศ
5.
ควรวาง FCU ในบริเวณที่สามารถตรวจซ่อมภายหลังได้อย่างสะดวก
6.
อย่าตั้งชิดผนังที่โดนแดดจัดเพราะจะทำให้ได้รับความร้อนจากภายนอกได้ง่าย
7.
พยายามติดตั้งแฟนคอยล์ยูนิตให้อยู่ใกล้กับคอนเด็นซิ่งยูนิตจะทำให้ประสิทธิภาพสูงสุด
การติดตั้งท่อน้ำยา
ระบบท่อน้ำยานับว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดในการติดตั้งเครื่องปรับอากาศแบบแยก
ส่วนการเลือกใช้ขนาดท่อที่มีขนาดเล็กเกินไปจะมีผลทำให้เกิดปัญหาตามมาเช่น
ทำให้ประสิทธิ ภาพของเครื่องต่ำลงหรือความดันตกคร่อม (Pressure Drop) ระหว่างท่อมากเกินไป
เป็นต้น ดังนั้นในการเลือก ใช้ขนาดท่อน้ำยาต้องคำนึงถึง
1. PIPE DIAMETER ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของท่อน้ำยา
2. PIPE LENGTH ความยาวท่อน้ำยา
3. NUMBER OF FITTINGS จำนวนของข้อต่อต่างๆ เช่น ข้องอ
4. FLUID VELOCITY ความเร็วในการเคลื่อนที่ของสารทำความเย็น
การเลือกใช้ท่อน้ำยาควรเลือกตามคู่มือติดตั้งเครื่องปรับอากาศนั้นๆ
แต่ถ้าไม่ทราบก็สามารถหา
ขนาดคร่าวๆได้จากแผนผังคำนวณขนาดท่อน้ำยาซึ่งโดยทั่วไปกำหนดความดันตกคร่อมด้านดูด
(Suction
Line Pressure Drop) 2 PSI/100 FT และความดันตกคร่อมด้านส่ง (Discharge Line PressureDrop) 4 PSI/100 FT.
นอกจากการเลือกใช้ขนาดท่อน้ำยาที่ถูกต้องแล้ว
การเดินท่อน้ำยายังต้องทำอย่างถูกหลักการอีก
ด้วยจึงจะทำให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น
ระบบท่อน้ำยาต้องทำความสะอาดให้ดีและ
แห้งและในการเดินท่อน้ำยาต้องคำนึงถึงความเร็วของไอน้ำยาให้มากพอที่จะพาน้ำมันหล่อลื่น
กลับคอมเพรสเซอร์ด้วย
ดังนั้นในการติดตั้งคอนเด็นซิ่งและอีวาพอเรเตอร์ในระดับที่ต่างกันจะ ต้องคำนึงถึง
1.
การติดตั้งอีวาพอเรเตอร์ต่ำกว่าคอนเด็นซิ่ง
จะมีผลให้น้ำมันกลับเข้าคอมเพรสเซอร์น้อยเพราะ คอมเพรสเซอร์อยู่สูงกว่า
ดังนั้นการเดินท่อด้านดูดต้องคำนึงถึงความดันตกคร่อมและเรื่องน้ำมัน กลับด้วย
2.
การติดตั้งคอนเด็นซิ่งต่ำกว่าอีวาพอเรเตอร์
จะมีผลให้ความดันตกลงเพราะคอมเพรสเซอร์ต้อง อัดน้ำยาขึ้นที่สูง
ดังนั้นการเดินท่อด้านส่งต้องคำนึงถึงความดันตกคร่อมจากความเสียดทานและ
การเดินท่อในแนวดิ่ง
การเดินท่อน้ำยาด้านดูดเมื่อตำแหน่งการวางอีวาพอเรเตอร์และคอนเด็นซิ่งอยู่ในลักษณะต่างๆ
เป็นดังนี้
1.
เมื่อคอนเด็นซิ่งอยู่เหนืออีวาพอเรเตอร์
ให้ทำที่กักน้ำมัน(Oil Trap) เพื่อให้แน่ใจว่า
น้ำมันที่อยู่ในระบบจะไหลกับขึ้นไปยังคอม เพรสเซอร์ การทำที่กักน้ำมันควรทำให้ใกล้
อีวาพอเรเตอร์ที่สุดเท่าที่จะทำได้
2.
เมื่อคอนเด็นซิ่งอยู่เหนืออีวาพอเรเตอร์ให้ทำที่กักน้ำมันทุกๆช่วงความสูง 4.5 ม.
ทั้งนี้เพื่อให้เก็บกักน้ำมันเอาไว้ในขณะ ที่คอมเพรสเซอร์เริ่มทำงานอีกครั้ง
น้ำมัน จากที่กักน้ำมันนี้จะถูกดูดไปหล่อลื่นคอม เพรสเซอร์ได้ทันที (ไม่ควรเดินท่อในแนวดิ่งสูงเกินกว่า
15 ม.)
การเดินท่อน้ำยาต่อระบบทำความเย็นยาวเกิน 10 เมตร
จะต้องเติมน้ำมันหล่อลื่นเพิ่มเติมเพื่อ
ชดเชยผลของฟิล์มน้ำมันที่ตกค้างผิวด้านในของท่อดูด
ตามอัตราตารางต่อไปนี้ต่อทุกๆความยาว 1 เมตรที่เดิน การเติมน้ำมันให้ดูจาก OIL SIGHT GLASS (ถ้ามี) โดยให้อยู่ในช่วง 1/2 ถึง 3/4 ของ OIL SIGHT GLASS
ขนาดท่อ อัตราเติมน้ำมันต่อทุกความยาว 1 เมตร
3/8 7.5 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
1/2 10 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
5/8 20 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
3/4 30 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
7/8 40 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
1-1/8 50 มิลลิเมตร (ซี.ซี)
เมื่อเดินท่อน้ำยาผ่านผนัง,กำแพง ควรบุหรือห่อด้วยฉนวน
ซึ่งสามารถลดการสั่นสะเทือนได้ ส่วน ท่อด้านดูดต้องหุ้มฉนวนตลอดความยาวของท่อ
ฉนวนที่ใช้หุ้มท่อนี้ต้องมีความหนาอย่างน้อย 1/2 นิ้ว
โดยปกติแล้วท่อด้านส่งไม่จำเป็นต้องหุ้มฉนวน
ยกเว้นในกรณีที่เดินท่อผ่านบริเวณที่มี อุณหภูมิสูง เช่น ห้องหม้อน้ำหรือกลางแดดร้อนจัด
ควรจะใช้ฉนวนยางที่มีความหนาอย่างน้อย 3/8 นิ้ว หุ้มห่อด้านส่งด้วย
และต้องเพิ่มความหนาของฉนวนด้านดูดขึ้นเป็นพิเศษด้วยอย่างน้อย หนา 3/4 นิ้ว
การติดตั้งท่อน้ำทิ้ง
ท่อน้ำทิ้งจัดว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่ง
ถ้าติดตั้งไม่ดีอาจมีผลให้น้ำไม่สามารถระบายออกและขัง
อยู่ในตัวเครื่องจนล้นออกมาภายนอกสร้างความเสียหายให้บริเวณรอบๆเครื่องได้
ท่อน้ำทิ้งโดย มากจะใช้ท่อ S-LON หรือท่อ PVC โดยต่อออกจากตัวเครื่องอีวาพอเรเตอร์ ท่อน้ำทิ้งควรจะหุ้ม
ฉนวนตรงบริเวณที่อาจจะเกิดมีการ condensate โดยเฉพาะถ้าเดินท่ออยู่ในฝ้าเพดาน
นอกจาก นี้ท่อน้ำทิ้งควรทำ TRAP ด้วย
การบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศ
เพื่อให้เครื่องปรับอากาศทำงานเต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานยาวนานจึงควรหมั่น
ดูแลบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ มีข้อแนะนำโดยทั่วไปเกี่ยวกับการบำรุงรักษาดังนี้
1.
หมั่นตรวจสอบและทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของแฟนคอยล์ยูนิตทุกสองสัปดาห์
2.
แผงอีวาพอเรเตอร์คอยล์และคอนเด็นเซอร์คอยล์ควรทำความสะอาด 3-6 เดือนต่อครั้ง
3.
มอเตอร์พัดลมทั้งแฟนคอยล์ยูนิตและคอนเด็นซิ่งยูนิตต้องมีการตรวจเช็คทุก 6 เดือน
และทำการหล่อลื่น โดยการอัดจาระบีหรือหยอดน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ
4.
ตรวจดูถาดน้ำทิ้ง ทำความสะอาดเพื่อให้การไหลของน้ำทิ้งเป็นไปอย่างสมบูรณ์
5.
ตรวจดูทิศทางลมเข้าออกของแฟนคอยล์ยูนิต ต้องไม่มีวัสดุปิดขวางทางลม
6.
ตรวจสอบและซ่อมแซมฉนวนท่อน้ำยาที่ต่อระหว่างคอนเด็นซิ่งยูนิตและแฟนคอยล์ยูนิต
7.
ตรวจสอบหน้าต่างและประตูว่ามีรูรั่วทำให้อากาศร้อนจากภายนอกเข้าสู่อาคารหรือไม่
8.
ติดต่อช่างบริการที่เชื่อถือได้เพื่อตรวจสอบเครื่องอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
วิธีใช้เครื่องปรับอากาศอย่างประหยัด
การใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนหรืออาคารสำนักงานประมาณ
60% จะใช้กับระบบปรับอากาศ ฉะนั้น
ถ้าใช้เครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพต่ำหรือปล่อยให้มีความร้อนเกิดขึ้นภายในห้องโดยไม่
จำเป็นย่อมก่อให้ผู้ใช้เสียค่าไฟฟ้ามากกว่าความจำเป็น
การประหยัดไฟฟ้าสำหรับเครื่องปรับอากาศนั้นสามารถดำเนินการได้ด้วยวิธีการต่างๆทั้งวิธี
การที่ไม่ต้องลงทุน และลงทุนเล็กน้อยซึ่งผลจากการดำเนินงานนั้นจะไม่ทำให้ความสะดวก
สบายที่ได้รับจากการใช้เครื่องปรับอากาศต้องลดน้อยลงแต่จะลดค่าไฟฟ้าลงจากปกติ
วิธีการ ประหยัดมีดังต่อไปนี้
การเลือกเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสม
1.
เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง คือ ให้ความเย็นมากแต่กินไฟน้อย
โดยดูที่การ กินไฟฟ้าเป็นวัตต์ หรือแอมปโดยควรเลือกที่มีค่าน้อย หรือดูจากค่า COP หรือ EER
(Energy Efficiency Ratio) ซึ่งค่ายิ่งสูงยิ่งดี
2.
เลือกขนาดเครื่องปรับอากาศที่เหมาะสมกับห้อง
3.
ควรเลือกอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิหรือเทอร์โมสตัทที่มีความเที่ยงตรงสูง เช่น
เทอร์โมสตัท ชนิดอิเล็กทรอนิกส์
4.
เปลี่ยนเครื่องปรับอากาศใหม่ทดแทนเครื่องปรับอากาศเก่าที่มีประสิทธิภาพต่ำ
เนื่องจาก ใช้งานมานาน การเปลี่ยนเครื่องใหม่ควรพิจารณาเครื่องที่มีประสิทธิภาพสูง
การลดความร้อนจากภายนอก
การลดความร้อนจากภายนอกที่ผ่านเข้ายังบริเวณที่ปรับอากาศโดยผ่านผนัง, หลังคาและพื้น
โดยพิจารณาเป็นส่วนๆดังนี้
1.
การลดความร้อนผ่านผนัง
1.1 ผนังกระจก เป็นสิ่งหนึ่งที่ความร้อนจากภายนอกสามารถแผ่เข้ามาได้มาก
มีวิธีแก้ไขหลาย วิธีคือ
1.1.1 ใช้เครื่องบังแดดภายในอาคาร
- ใช้กันสาดในแนวตั้งและแนวนอน หรือการหลบแนวหน้าต่างเข้ามาภายใน
- สำหรับกระจกที่หันไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ควรติดกันสาดในแนวนอน
- ส่วนกระจกที่หันไปทางทิศเหนือและทิศใต้ ควรใช้กันสาดในแนวตั้ง
- ปลูกต้นไม้บังแดดสำหรับกระจก ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก
1.1.2
ใช้ผ้าม่านหรือมู่ลี่สีอ่อนบังแดดภายในด้านหลังกระจกโดยเลือกใช้มู่ลี่ชนิดใบอยู่ในแนว
นอนสำหรับกระจกทางทิศเหนือหรือทิศใต้ ส่วนกระจกทางทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตกควร
ใช้มู่ลี่ชนิดใบอยู๋ในแนวดิ่ง
1.1.3 เลือกกระจกที่มีคุณสมบัติยอมให้แสงผ่านได้น้อย
โดยกระจกที่หันไปทางทิศตะวันตก หรือตะวันออกควรใช้กระจกกรองแสงหรือแสงสะท้อน
1.1.4
พยายามใช้กระจกเท่าที่จำเป็นโดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของอาคาร
1.2
ผนังอาคารที่เป็นปูน
1.2.1 ทาสีด้านนอกด้วยสีขาวหรือสีอ่อนหรือใช้วัสดุผิวมัน
เช่นกระเบื้องเคลือบเพื่อช่วยสะท้อน แสง
1.2.2 ควรปลูกต้นไม้หรือสร้างที่บังแดดเพื่อให้ร่มเงาแก่ผนัง
1.2.3 ผนังห้องปรับอากาศโดยเฉพาะด้านทิศตะวันออกหรือทิศตะวันตก
ซึ่งไม่มีเงากำบังหรือ ห้องข้างเคียงเป็นห้องครัว
หรือเป็นห้องที่มีความร้อนมากควรบุฉนวนกันความร้อน
1.3
ผนังอาคารที่เป็นไม้หากมีช่องห่างของไม้มากควรตีผนังด้านในด้วยไม้อัดเพื่อกันการผ่าน
ของ ความร้อนจากภายนอกเข้ามาในอาคาร
2.
การลดความร้อนผ่านหน้าต่าง
2.1 หน้าต่างควรมีเฉพาะทิศเหนือหรือทิศใต้ของอาคาร
เพื่อลดการรับแสงแดดโดยตรง
2.2 ต้องพยายามไม่ให้มีรอยรั่วตามขอบประตูหน้าต่างหรือบริเวณฝ้าเพดาน
2.3 หน้าต่างส่วนที่เป็นกระจกให้ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผนังกระจก
3.
การลดความร้อนผ่านหลังคาและฝ้าเพดาน
3.1 หลังคาที่เป็นสังกะสีหรือกระเบื้อง
ควรตีฝ้าหรือติดตั้งวัสดุสะท้อนความร้อน หรือบุฉนวน กันความร้อน
เพื่อช่วยลดความร้อนที่จะแผ่เข้ามาในอาคาร
3.2
ถ้ามีช่องว่างระหว่างหลังคากับฝ้ามากควรเจาะช่องลมเพื่อระบายอากาศจะทำให้ประหยัด
การปรับอากาศได้
4.
การลดความร้อนผ่านพื้น หากเป็นพื้นไม้ควรอุดช่องระหว่างไม้ให้สนิท
แอร์จะได้ไม่รั่ว ออกไป
5.
การปรับปรุงในส่วนของรูปแบบอาคาร
5.1
ออกแบบและกำหนดทิศทางของอาคารให้อยู่ในลักษณะที่ความร้อนจากภายนอกเข้ามา
ในอาคารน้อยที่สุด
5.2 การเลือกสีผนัง,เพดาน
และเครื่องตกแต่งอาคารควรเป็นสีอ่อน เพื่อช่วยในการสะท้อน
แสงทำให้ห้องสว่างและใช้ดวงไฟน้อยลง
5.3
อาคารที่มีพื้นที่หรือห้องซึ่งไม่ได้ใช้งานประจำอยู่ทางทิศตะวันตกจะช่วยกันความร้อน
ไม่ให้เข้ามาถึงห้องที่ใช้สอยประจำ ทำให้ประหยัดพลังงานไฟฟ้าในการปรับอุณหภูมิห้องที่
ใช้สอยประจำลงได้
การลดความร้อนจากดวงไฟและอุปกรณ์ภายใน
1.
พยายามใช้แสงธรรมชาติช่วยส่องสว่างภายในอาคารและควรจะปิดไฟที่ไม่จำเป็น
2.
ภายในอาคารควรใช้สีอ่อน เพื่อช่วยในการสะท้อนแสงทำให้ใช้ดวงไฟน้อยลง
3.
เลือกใช้หลอดไฟที่มีประสิทธิภาพการส่องสว่างสูง เช่น ใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์แทน
หลอดไฟแบบมีไส้
4.
อุปกรณ์ที่ให้ความร้อนมากควรใช้นอกห้อง เช่น เตารีด เครื่องปิ้งขนมปัง
หรือกาต้มน้ำ
5.
ติดตั้งฝาครอบระบายอากาศ
สำหรับเครื่องหุงต้มทุกชนิดถ้าจำเป็นต้องใช้ในห้องปรับอากาศ
วิธีใช้เครื่องปรับอากาศอย่างถูกต้อง
1.
ตั้งอุณหภูมิให้เหมาะสมไม่เย็นจัดจนเกินไป โดยปกติขณะนอนหลับควรตั้งที่ 78 F (26 C) แต่ถ้าทำงานตั้งไว้ประมาณ 75 F (24 C)
2.ควรติดตั้งเทอร์โมสตัทให้ใกล้กับคอยล์ของอีวาพอเรเตอร์ในตำแหน่งลมกลับเข้าเครื่อง
เพื่อทำให้การตัดต่อเป็นไปอย่างถูกต้อง
3.
เริ่มต้นเปิดเครื่องควรปรับระดับความเร็วพัดลมที่ความเร็วสูง (Hi) ก่อนเพราะจะทำให้เย็น
เร็วพอเย็นได้ที่แล้วควรปรับลดไปเป็นลมต่ำ (Low)
4.
ควรปิดประตู หน้าต่าง ให้มิดชิดอย่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ เพราะความร้อนจะเข้ามา
5.
เปิดใช้เครื่องปรับอากาศเฉพาะส่วนและในเวลาที่จำเป็น
ช่วงที่อากาศไม่ค่อยร้อนให้ปิดเครื่องปรับอากาศ
แล้วเปิดหน้าต่างเพื่อให้ลมพัดถ่ายเท
6.
หมั่นล้างทำความสะอาดคอยล์ รวมทั้งแผงกรองอากาศให้สะอาดอยู่เสมอ
7.
อย่าให้มีสิ่งกีดขวางทางลมทั้งที่แฟนคอยล์ยูนิต(ชุดที่อยู่ในห้อง)
....................................................11 ก.ค 59
..................................................................